2023-02-02
ดวงจันทร์ เป็นดาวบริวารเพียงดวงเดียวของโลก เป็นวัตถุที่ใกล้โลกที่สุดด้วยระยะห่างราว 400,000 กิโลเมตร
ดวงจันทร์มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3,475 กิโลเมตร ทำให้เมื่อมองจากโลกมีขนาดเชิงมุมราว 0.5° ใกล้เคียงกับขนาดเชิงมุมของดวงอาทิตย์ ที่แม้จะใหญ่กว่า 1.39 ล้านกิโลเมตร แต่อยู่ไกล 150 ล้านกิโลเมตร ทำให้เมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่มาอยู่บนเส้นตรงเดียวกับโลกและดวงอาทิตย์ จะบังแสงจากดวงอาทิตย์ได้เกือบทั้งหมด โดยมีชื่อเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า สุริยุปราคา (Solar eclipse)
ผิวดวงจันทร์ประกอบไปด้วยหินคล้ายกับโลก แต่ไม่มีน้ำและบรรยากาศ จึงทำให้รอยอุกกาบาตต่างๆอายุหลายร้อยล้านปียังคงเห็นได้ ไม่ถูกสึกกร่อนเหมือนบนโลก พื้นผิวของดวงจันทร์เป็นสีเทา ประกอบด้วยหินอัคนีเฟลด์สปาร์ (Feldspar) เป็นส่วนใหญ่เหมือนโลก พื้นผิวส่วนหนึ่งมีสีดำหรือเข้มกว่า เคยเชื่อว่าเป็นน้ำในช่วงศตวรรษที่ 17-19 จึงมีชื่อเรียกว่า มาเร (Mare) ซึ่งแปลว่าทะเลในภาษาละติน แต่ที่จริงแล้ว มาเรเป็นหินลาวาซึ่งมีไอออนสีดำของเหล็กอยู่สูงกว่า แม้ในปี 2008 จะพบว่ามีน้ำแข็งอยู่บ้างบนดวงจันทร์ แต่พื้นที่เหล่านี้ยังแห้งยิ่งกว่าทะเลทรายราว 100 เท่า
การสำรวจดวงจันทร์เริ่มต้นในปี 1959 จากโครงการลูน่า (Luna) ของสหภาพโซเวียต โดยยิงจรวดไปถึงดวงจันทร์ได้ และสามารถลงจอดบนดวงจันทร์ได้เป็นครั้งแรกในปี 1966
มนุษย์ศึกษาดาวและดวงจันทร์ด้วยตาเปล่ามาหลายพันปี จนกระทั่งกาลิเลโอใช้กล้องโทรทรรศน์ วาดแผนที่ดวงจันทร์ที่เต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาตในปี 1609 เริ่มต้นความฝันว่ามนุษย์อาจไปอยู่บนดวงจันทร์ได้เช่นเดียวกับโลก 360 ปีต่อมา ในปี 1969 นีล อาร์มสตรอง และ บัซ อัลดริน เป็นมนุษย์คนแรกที่ไปเหยียบดวงจันทร์ในโครงการอะพอลโล 11 (Apollo 11) ของสหรัฐอเมริกา แต่การส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์มีค่าใช้จ่ายสูงโครงการอะพอลโลจึงถูกปิดลงในปี 1972 ส่งมนุษย์ไปถึงดวงจันทร์เพียง 12 คน และยังไม่มีมนุษย์คนใดได้ไปดวงจันทร์อีกกว่า 50 ปี
แม้จะไม่มีมนุษย์ไปดวงจันทร์ แต่เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ที่ก้าวหน้าขึ้น ทำให้สามารถส่งดาวเทียมไปสำรวจดวงจันทร์ได้ประหยัดขึ้น เริ่มจากปี 1990 ด้วยยานฮิเทน (Hiten) ของญี่ปุ่น ตามด้วยสหภาพยุโรป จีน อินเดีย อิสราเอล และเกาหลีใต้ ในปี 2003, 2007, 2008, 2019, 2022 ตามลำดับ
จีนกลายเป็นผู้นำด้านการสำรวจดวงจันทร์ เมื่อรถสำรวจดวงจันทร์หวี่ถู (Yutu) ลงจอดพร้อมกับยานฉางเอ๋อ 3 (Chang'e 3) สำเร็จในปี 2013 นับเป็นรถสำรวจดวงจันทร์คันแรกในรอบ 40 ปี และไม่มีประเทศอื่นทำสำเร็จจนถึงปี 2023 เมื่อสหรัฐอเมริกาวางแผนสร้างสถานีบนดวงจันทร์ในโครงการอาร์ทีมีส (Artemis)
ในปี 1610 กาลิเลโอค้นพบดาวบริวาร 4 ดวงรอบดาวพฤหัส เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าไม่ใช่ทุกสิ่งที่หมุนรอบโลก ซึ่งที่จริงแล้วมีเพียงดวงจันทร์ที่โคจรรอบโลก และโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์เช่นเดียวกับดาวเคราะห์อื่นๆ ดาวบริวาร 4 ดวงนี้จึงมีชื่อเรียกรวมว่า ดาวบริวารกาลิเลียน (Galilean moons) และมีชื่อว่า ไอโอ, ยูโรปา, กานีมีด, คาลิสโต (Io, Europa, Ganymede, Callisto) ตามลำดับวงโคจร
ดาวบริวารกาลิเลียนเพียง 4 คิดเป็นมวล 99.99% ของดาวบริวารทั้งหมดกว่า 70 ดวงรอบดาวพฤหัส ดาวเหล่านี้ได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์น้อยกว่าความร้อนและรังสีจากดาวพฤหัส ทำให้มีลักษณะคล้ายกับระบบสุริยะขนาดย่อม ดาวทั้ง 4 ดวงมีลักษณะแตกต่างกันไป ไอโออยู่ใกล้ดาวพฤหัสที่สุด มีสีเหลืองจากกำมะถันและมีภูเขาไฟที่ยังครุกรุ่น, ยูโรปาปกคลุมด้วยน้ำแข็งหนาราว 100 กิโลเมตร และมีน้ำอยู่ภายใน ซึ่งอาจคล้ายกับมหาสมุทรของโลกหลายพันล้านปีก่อน, กานีมีดเป็นดาวบริวารที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะด้วยเส้นผ่าศูนย์กลาง 5,262 กิโลเมตร มีน้ำแข็งปกคลุมคล้ายยูโรปาแต่อาจไม่ร้อนพอที่จะมีน้ำภายใน, คาลิสโตมีน้ำแข็งปกคลุมเช่นกัน แต่ได้รับรังสีและความร้อนจากดาวพฤหัสน้อยกว่า จึงทำให้พื้นผิวไม่มีการละลาย ทำให้เห็นรอยอุกกาบาตจำนวนมากเหมือนกับดวงจันทร์
ดาวเสาร์มีดาวบริวารกว่า 80 ดวง และมีวงแหวนซึ่งประกอบด้วยเศษหินและน้ำแข็งขนาดไม่ถึงกิโลเมตรจำนวนมากโคจรอยู่ที่ระยะ 7,000 - 80,000 กิโลเมตร วงแหวนนี้น่าจะเป็นเศษของดาวบริวารที่แตกออกเมื่อไม่กี่สิบล้านปีก่อนจากแรงโน้มถ่วงของดาวเสาร์
ดาวเสาร์มีดาวบริวารที่ใหญ่ที่สุด คือ ดาวไททัน (Titan) มีมวลคิดเป็น 96% ของดาวบริวารทั้งหมด ดาวไททันมีชั้นบรรยากาศมีเทนที่หนาทึบ และด้วยอุณหภูมิที่เย็นพอเหมาะ ทำให้มีเทนกลั่นตัวเป็นเมฆและฝน ไหลบนพื้นผิวดาวได้เช่นเดียวกับน้ำบนโลก พื้นผิวของดาวไททันถูกถ่ายไว้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในปี 2004 โดยยานฮอยเกนส์ (Huygens) ซึ่งลงจอดบนดาวไททัน จากยานแคสสินี (Cassini) ที่ออกเดินทางจากโลกตั้งแต่ปี 1997 เป็นยานเพียงลำเดียวที่เข้าสู่วงโคจรรอบดาวเสาร์ ระหว่างปี 2004-2017 ด้วยความน่าสนใจของดาวไททัน นาซ่าวางแผนจะส่งยานดราก้อนฟลาย (Dragonfly) ไปสำรวจในปี 2027
ดาวพุธและดาวศุกร์ไม่มีดาวบริวาร แต่ดาวอังคารมีดาวบริวารเล็กๆ 2 ดวง มีชื่อเรียกว่า โฟบอส (Phobos) และเดมอส (Deimos) ขนาดเพียง 22 และ 12 กิโลเมตร ซึ่งอาจเป็นดาวเคราะห์น้อยที่ถูกแรงโน้มถ่วงของดาวอังคารดึงไว้ โฟบอสกำลังตกเข้าสู่ดาวอังคารปีละ 2 เซนติเมตร ในอีก 50 ล้านปีข้างหน้าโฟบอสน่าจะเข้าใกล้ดาวอังคารจนถูกแรงโน้มถ่วงบดกลายเป็นวงแหวนเหมือนดาวเสาร์
นอกจากดาวเคราะห์ที่มีดาวบริวารแล้ว วัตถุอื่นก็มีดาวบริวารได้เนื่องจากแรงโน้มถ่วงระหว่างกัน เช่น ดาวเคราะห์แคระพลูโต (Pluto) ขนาด 2,376 กิโลเมตร มีดาวบริวารชารอน (Charon) ขนาด 1,212 กิโลเมตร ซึ่งถูกถ่ายภาพจากยานอวกาศ New Horizons เมื่อปี 2015 หรือ ดาวเคราะห์น้อยดิดีมอส (Didymos) ขนาด 780 เมตร กับดาวบริวารขนาด 160 เมตร ซึ่งถูกถ่ายภาพจากยานอวกาศ Dart ก่อนพุ่งเข้าชนเมื่อปี 2022